แนวทางปฏิบัติเมื่อเป็นสิวอักเสบ
สิวอักเสบ
สิวอักเสบเกิดจากการอักเสบของระบบต่อมไขมันที่รูขุมขน โดยเริ่มจากการ อุดตันของระบบต่อมไขมันที่รูขุมขน ต่อมไขมันทำหน้าที่ผลิตไขมันมาหล่อเลี้ยงผิว เมื่อเกิดการระคายเคืองของรูขุมขนจึงทำให้ไขมันออกมาไม่ได้ เกิดเป็นก้อนไขมันอุดตัน (comedone) อยู่ในรูขุมขน
จากนั้นเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ร่างกายจึงส่งเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ทำให้กลายเป็นตุ่มบวมแดง หลังจากนั้นเมื่อมีเม็ดเลือดขาวและแบคทีเรีย ร่วมกับเซลล์บางส่วนตาย จึงเห็นเป็นหนอง
ดังนั้น หลักใหญ่ในการรักษาสิวก็คือ แก้อักเสบ สลายอุดตัน และป้องกันอุดตัน นั่นเอง
“หลักการรักษาสิว มี 3 ขั้นตอน” คือ
1. แก้อักเสบ หากมีสิวอักเสบอยู่ควรรักษาสิวอักเสบให้หายก่อน แล้วจึง
2. ขจัดอุดตัน ซึ่งมีอยู่ใต้ผิวหรือเกิดขึ้นใหม่ให้หมดไป
3. ป้องกันการอุดตัน ไม่ให้เกิดการอุดตันใหม่ ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสิว
แต่ขั้นตอนการขจัดอุดตัน และป้องกันการอุดตันสามารถแก้ปัญหาไปพร้อมๆ กับรอยแผลสิวได้
แนวทางปฏิบัติเมื่อเป็นสิวอักเสบ
1. ห้ามแกะ บีบ สิวที่อักเสบ
หลีกเลี่ยงการรบกวนผิวหน้า ห้ามเช็ด ถู ลูบคลำ แกะ เกา กด ดูด บีบ บริเวณสิวอักเสบ ตุ่มแดง ตุ่มหนอง เหตุผลที่ห้ามเพราะ จะทำให้ผนังท่อหรือต่อมไขมันแตก สิวยุบเร็วจริงแต่ข้อเสียคือ เกิดรอยบุ๋มตามมา ต้องมารักษารอยบุ๋มต่อทำให้เสียเวลา หากสิวอักเสบไม่ถูกรบกวนและปฏิบัติถูกต้อง ส่วนใหญ่จะยุบหายเองภายใน 30 วัน
2. การล้างหน้า - 2 ครั้ง / วัน
นอกจากจำนวนครั้งในการล้างหน้าแต่ละวันแล้ว จุดประสงค์ของการล้างหน้าและการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวก็มีความสำคัญเช่นกัน
การล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น ก็เพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนผิวหน้า เนื่องจากสิวไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรกจากภายนอกเข้าไปอุดตันรูขุมขน ดังนั้นการล้างหน้าไม่สามารถป้องกันหรือรักษาสิวได้ มีแต่จะสร้างปัญหาให้มากขึ้น เพราะยิ่งฟอกก็ยิ่งแสบ คัน ก่อระคายเคือง นอกจากนี้ยังอาจก่อให้เกิดสิวเทียม (เกิดจากการหนาตัวบริเวณปากรูขุมขน เป็นตุ่มนูนคล้ายสิว เนื่องจากผิวระคายเคือง แก้ไขด้วยการหยุดล้างหน้า เหลือวันละครั้งเดียว ซับหน้าด้วยกระดาษซับหน้ามัน สิวเทียมจะยุบได้เอง
การล้างหน้ามีจุดประสงค์หลัก เพื่อล้างสิ่งสกปรกออก ซึ่งสิ่งสกปรกก็มีตั้งแต่เหงื่อ ไขมันที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมัน เชื้อโรคบนผิวทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อยีสต์ต่างๆ รวมทั้งสิ่งสกปรกจากภายนอก ซึ่งมีอยู่มากมายและเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน โดยเฉพาะมลภาวะ ฝุ่นละออง เขม่ารถยนต์ ควันเสีย ละอองน้ำมัน รวมทั้งสารเคมีต่างๆ
ประเด็นสำคัญคือ ผิวคนเราโดยเฉพาะผิวหน้า นอกจากจะมีต่อมไขมันอยู่มากมายแล้วยังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วย จึงขับไขมันออกมาเคลือบหล่อเลี้ยงผิว และไขมันที่ขับออกมาเคลือบผิวเหล่านี้เป็นเสมือนกาวที่คอยดักจับสิ่งสกปรกไว้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าเราจะล้างสิ่งสกปรกซึ่งมีความมัน ถ้าใช้น้ำเปล่าล้างหน้า น้ำก็จะไม่สามารถล้างออกได้ จึงจำเป็น ต้องใช้ตัวช่วยเพื่อให้ล้างคราบมันออกได้ดี คือ เจลล้างหน้า หรือคลีนเซอร์ (Cleanser)
ผิวของคนเราโดยทั่วไป ตามปกติจะมีสภาพเป็นกรดอ่อน คือ pH ประมาณ 5 ถ้าเราใช้สบู่ทำความสะอาดผิว เมื่อล้างเสร็จผิวก็จะมีสภาพเป็นด่าง แต่ธรรมชาติของผิวจะต้องปรับมาอยู่ที pH5 ดังนั้นหลังทำความสะอาดประมาณครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง ผิวก็จะกลับมาเป็นกรดอ่อนเหมือนเดิม ซึ่งหากใช้สบู่บ่อยๆ ผิวเราจะต้องคอยปรับ pH ของเราอยู่ตลอดเวลา นานๆ เข้าผิวก็เหนื่อย ความสามารถในการกลับสู่สภาพการเป็นกรดเหมือนเดิมก็จะลดน้อยลง ผิวก็จะทนต่อสบู่ได้น้อยลงตามไปด้วย และในที่สุดผิวก็อ่อนแอ คุณสมบัติต่างๆ ของผิวหนังในอันที่จะปกป้องผิวก็จะลดลง เกิดการแพ้และระคายเคืองได้ง่าย
ดังนั้นตัวผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH ใกล้เคียงผิวหนังปกติ จะมีคุณสมบัติของการลดแรงตึงผิวน้อย มีความสามารถในการกำจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ไขมัน มลภาวะต่างๆ บนผิว แต่จะต้องทำลายผิวน้อยที่สุด)
ไรฟา15 เป็นเจลล้างหน้าที่ผลิตขึ้นเพื่อหวังผลการชำระล้าง ที่ไม่ก่อระคายเคือง ไม่กระตุ้นให้เกิดการอุดตันใหม่ มีสภาพเป็นกลาง นอกจากมีมอยเจอร์ไรเซอร์เติมความชุ่มชื้นแก่ผิวแล้ว ยังเพิ่มสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิว สิ่งจำเป็นสำหรับผิวเข้าไว้ด้วย จึงเหมาะกับผิวหน้าทุกสภาพปัญหา ไม่ว่า สิว ฝ้า ถนอมผิว ผิวแห้ง ผิวปกติ หรือผิวมัน (หลอดสีเขียวเหมาะกับผิวปกติถึงผิวมันในวัยรุ่น หลอดสีชมพูเหมาะกับผิวปกติ, ผิวแห้งหรือผิวผสม, ผิวที่มันมากจึงจะแนะนำให้ใช้ ไรฟา15 โฟม อย่าใช้สบู่ยา หรือโฟมที่มีฟองมากเกินไป เพราะจะฆ่าเชื้อจุลินทรีย์พื้นฐานปกติ ทำให้เชื้ออักเสบดื้อยาเจริญแพร่หลายได้
การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าจะดี และเหมาะมากกับคนที่มีผิวแห้ง ไม่แต่งหน้า ไม่ได้มีการทาครีมรองพื้น หรือแป้งผสมรองพื้น
3. อย่าขัดถู / เช็ดหน้าแรง = ซับหน้า
การขัดถูหรือการเช็ดหน้าแรงๆ เป็นการกระตุ้นให้เกิดการอุดตัน และรบกวนผิวหน้าสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบอาจทำให้หัวสิวแตก อักเสบลุกลาม เกิดรอยแผลเป็นตามมา ดังนั้นควรเปลี่ยนจากการเช็ดหน้า เป็นการซับหน้า หลังล้างหน้า โดยใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับผิวหน้าเบาๆ หลังการล้างหน้าทุกครั้งถึงแม้ว่าสิวจะหายแล้วก็ตาม (เป็นสุขบัญญัติที่สมควรฝึกให้เป็นนิสัยติดตัวตลอดไป)
4. เลี่ยงแดด (สิวเห่อ)
สิวที่อักเสบหากถูกแดดจัด ร้อนจัดจะอักเสบ เห่อแดง บวม เพิ่มขึ้น แสงแดดกระตุ้นให้เกิดการอุดตัน ความชื้น เหงื่อออกมากเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวเมืองร้อน มักเกิดในคนที่เป็นสิวง่าย การถูกแดดช่วงทาครีมแก้สิว เช่น Vitamin A acid (VA), Benzoyl Peroxide (BP) ยังอาจก่อปฏิกิริยาแพ้ได้ง่ายอีกด้วย
5. เลี่ยงหน้ามัน (สิวเกิดง่าย)
ผู้ที่ผิวหน้ามันจะมีต่อมไขมันจำนวนมาก มีการผลิตไขมันมากกว่าปกติ การอุดตันจึงเกิดขึ้นได้ง่าย ผู้ที่ผิวหน้ามันจะมีเชื้อ แบคทีเรีย ชนิด P.acne อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากกว่าคนผิวหน้าแห้ง เชื้อเหล่านี้จะสร้างกรดออกมาทำให้เกิดการระคายเคือง กระตุ้นให้มีการอุดตันของต่อมไขมัน
หากมีผิวหน้ามัน ควรป้องกันการอุดตันซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวอุดตันอันเป็นที่มาของสิวอักเสบ ด้วยสารลดการทำงานของต่อมไขมัน (Nerrish AL / MMC Oil Control Gel) มีสารลดการทำงานของต่อมไขมัน ป้องกันการเกิดอุดตันใหม่ แต่ไม่สามารถขจัดอุดตันที่เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ลดการสร้างไขมัน ลดความรุนแรงของอุดตัน ลดความมันของผิว อย่างไรก็ดี ไม่ควรใช้ N.AL / MMC Oil Control Gel ควบคู่กับ Vitamin A Acid)
6. ลดการอักเสบด้วย BP / Clinda
เบนซอย เปอออกไซด์ (Benzoyl peroxide - BP) เป็นสารเคมีสังเคราะห์แก้สิวโดยผลของ nascent oxygen (Ô) ที่สลายตัวออกมาจาก peroxide form ฆ่าเชื้อแบคทีเรียทำให้สิวอักเสบยุบตัวลง
นอกจากนั้นยังพบว่า เบนซอย เปอออกไซด์ ช่วยขจัดการอุดตันของขุมขนและป้องกันการเกิดอุดตันใหม่ได้อีกด้วย
ข้อเสียคือ ก่อเกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย ต้องบริหารการทาโดยทาครั้งละน้อย (เวลา) แล้วค่อยเพิ่มเวลาจนกระทั่งสามารถทาทิ้งไว้ตลอดคืนได้ในที่สุด
อีกประการหนึ่งคือ เบนซอย เปอออกไซด์ เมื่อกระทบแสง UV สามารถก่อปฏิกิริยากระตุ้นผิว มีรายงานถึงอัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่ทาครีมนี้แล้วถูกแสงแดด แก้ไขโดยในช่วงเวลาที่ผิวที่มีครีมติดอยู่ห้ามตากแดด คือ ให้ล้างออกก่อนออกแดด นำมาทาก่อนนอนเป็นหลัก ผิวที่ล้าง BP ออกแล้วสามารถถูกแดดได้ปกติ
ยังมีตัวที่ 2 ที่เป็นคู่หู BP ช่วยฆ่าเชื้อโรค คือ Clindamycin หรือเรียกง่ายๆ ว่า Clinda เป็นยาปฏิชีวนะ เชื้อจึงดื้อยาง่าย ใช้แล้วต้องต่อเนื่องจนสิวหาย ไม่ใช่ทาๆ หยุดๆ หรือใช้พร่ำเพรื่อ
Clinda นั้นใช้แต้มเฉพาะหัวสิวที่อักเสบแดง หรือเป็นหนองเท่านั้น ไม่ได้ผลละลายอุดตัน หรือสิวหัวดำ หัวขาว ไม่ควรใช้ทาทั่วใบหน้า เพราะจะทำให้เชื้อดื้อยา เมื่อทาแล้วสามารถทิ้งไว้ได้ไม่ต้องล้างออก และทาซ้ำได้ทุก 6 ชม.
สามารถใช้ BP และ Clinda ร่วมกันได้ ดังนี้
(1) ทา BP ที่จุดอักเสบทิ้งไว้ 5 – 15 นาที แล้วล้างออก โดยจัดเวลาทาเป็นทุก 6 ชม. หรือ 3 มื้อก็ได้ แต่อย่าทาทิ้งไว้ตลอดช่วงกลางวัน ก่อนนอนแต้มทิ้งไว้ได้ตลอดคืน
(2) แต้ม Clinda เฉพาะที่จุดอักเสบ ช่วงไหนก็ได้ โดยแต้มทิ้งไว้ไม่ต้องล้างออก ทำซ้ำทุก 6 ชม. หมายความว่า ไม่ได้ล้างหน้าก็แต้มได้ แต่อย่าทาทั่วหน้า
7. ทำให้สิวอุดตันหลวมก่อนกดสิว
ด้วยการทา Vitamin A Acid (VA) บางๆ ทั่วหน้าก่อนนอน ยกเว้นจุดอักเสบเป็นหนอง เน้นที่จุดดำตุ่มขาวที่อุดตัน หากเป็นช่วงแรกๆ ที่เป็นสิวและยังมีคอมิโดนอุดตันอยู่มาก จะนำมาทาก่อนล้างหน้าก็ได้ แต่หากจะทาทิ้งไว้ก็ต้องมั่นใจว่าเลี่ยงแดดได้ คือ อยู่เฉพาะในร่ม
หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ในการแก้ปัญหาเรื่องสิว BP, Clinda และ VA แล้ว จะช่วยทำให้สิวอักเสบยุบลง ช่วยละลายการอุดตัน ทำให้หัวสิวหลวมตัว กดออกง่ายขึ้น (รับบริการกดสิวได้ฟรีที่ศูนย์บริการผลิตภัณฑ์หมอมวลชน) หากจุดไหนกดไม่ออก ให้ทาครีมสลายอุดตัน (VA) ไป 7 วัน จึงเริ่มกดใหม่
อย่างไรก็ดี ยา BP, Clinda และ VA อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ผิวแสบ แดง ลอกเป็นขุย
การใช้ครีมทาสิวที่มีส่วนผสมของ Tea Tree Oil (Accin A) หรือ สารสกัดจากเปลือกมังคุด (Accin C) ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของสิว สลายอุดตัน และลดการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว จึงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่อาจเห็นผลช้าและน้อยกว่าการใช้ยา
8. วิธีสังเกตสิวเริ่มหาย
สิวจะไม่ยุบทันที แต่ให้ดูจากอัตราเม็ดสิวที่ขึ้นใหม่ค่อยๆลดลง ที่คงอยู่ไม่ลุกลาม จากนั้นจึงค่อยๆ ยุบ บวมแดงเป็นรอยดำคล้ำ โดยทั่วไปใช้เวลากว่า 30 วัน สิวเม็ดที่อักเสบอยู่จึงจะหายสนิท ส่วนที่เริ่มอักเสบใหม่ก็ใช้เวลาต่อไป อย่าใจร้อน
9. ช่วงสิวหาย–ห้ามแกะสะเก็ด/เลี่ยงแดด/ E/Zn
– ช่วงที่สิวอักเสบทุเลาลง มักมีอาการคันบริเวณรอยแผลสิวแดง ตกสะเก็ด อย่าแกะ เกา เพราะอาจเกิดรอยแผลเป็น หรือรอยบุ๋มได้ หรือเกิดอักเสบติดเชื้อขึ้นใหม่
– เลี่ยงแดด (เพราะเมื่อขณะที่ผิวอักเสบ มีรอยแผล เซลล์เนื้อเยื่อจะบอบบาง เมื่อโดนแดด จะมีการสร้างเม็ดสีออกมาก ทำให้เกิดรอยดำขึ้นได้)
– น้ำมันวิตามินอี (RIFA 14 Vitamin E Oil, Nerrish Oil) และแร่ธาตุสังกะสี (Zn AAC) จะช่วยสมานผิวให้แผลหาย โดยไม่เกิดรอยดำ และรอยแผลเป็น
วิตามินอี มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้ อยู่ในรูปของน้ำมัน ที่จะทาภายนอก เมื่อใช้ทาผิวหนังในขนาดที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันเซลล์มิให้เสื่อมสภาพ จากผลของแสงอุลตร้าไวโอเล็ต และยังช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ที่เกิดจากมลภาวะในอากาศ ไม่ให้ทำลายผิวหนัง ช่วยลดการลอกภายหลังถูกแดดจัด ลดการเกิดมะเร็งผิวหนัง ช่วยสมานรอยแผลสิว จุดด่างดำ ช่วยในการนำออกซิเจนเข้าสู่เซลผิวได้ดียิ่งขึ้น จึงช่วยสมานรอยแผลสิวให้หาย โดยไม่เกิดรอยดำและรอยแผลเป็น
– วิตามินซี ช่วยสร้าง Collagen (ซึ่งเป็นองค์ประ กอบของเนื้อเยื่อ เมื่อปริมาณของวิตามินซีมีน้อยเกินไปก็จะไม่มีการสร้าง Collagen ขบวนการซ่อมแซมก็จะเชื่องช้า ไร้ประสิทธิภาพ มีมากในผักและผลไม้ การได้รับวิตามินอีอย่างเดียวโดยไม่มีวิตามินซีนั้น วิตามินอีจะไม่สามารถออกฤทธิ์ได้)
– สังกะสี มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิต้านทานของร่างกาย โดยเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างเซลลิมโฟไซต์ (Lymphocytes) ซึ่งเป็นแอนติบอดี้ (Antibody) ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของสิวอักเสบ โดยสังกะสีช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น ดังนั้นสังกะสีจึงช่วยลดการอักเสบของสิวได้ สังกะสีเป็นสาร อาหารที่จำเป็นในการซ่อมแซมเซลของผิวหนังช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ที่สำคัญคือช่วยลดการเกิดแผลเป็นหลังการเกิดสิวอักเสบ) นอกจากยับยั้งการเกิดสิวอักเสบ ลดการเกิดแผลเป็นแล้ว แร่ธาตุสังกะสียังช่วยให้ผิวสวยด้วย (Zn AAC)
10. ป้องกันการอุดตัน - VA
– การอุดตันเป็นที่มาของสิวอักเสบ เมื่ออุดตันหมด แล้ว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันการอุดตัน คือ VA มีคุณสมบัติ ช่วยขยายท่อทางออกของสิว VA จะละลายไขมันที่อุดตันรูขุมขน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ท่อต่อมไขมันขยาย ทำให้หัวสิว (comedone) หลวมหลุดออกง่ายขึ้น VA จะเหมาะกับผู้มีผิวหน้ามันมากและมักไม่พบอาการระคายเคืองข้างเคียง หากผิวปกติออกขุยง่ายควรใช้ N.CPC ซึ่งมี Retinol ก่อระคายเคืองน้อยกว่า VA
– ผิวหน้ามันควรป้องกันการอุดตันด้วยสารลดการทำงานของต่อมไขมัน (Nerrish AL / MMC Oil Control Gel)
11. ป้องกันสิวถาวร
งดดื่มนมที่มีฮอร์โมนเร่งโต มีปฏิชีวนะปนเปื้อน งดน้ำอัดลม ของหวานมากไป น้ำตาลจะไปลดประสิทธิภาพภูมิคุ้มกัน งดของทอด ของมัน เพราะเสริมการเกิดสิวอุดตัน ทานน้ำมันปลาเพื่อสร้างเซลล์ท่อไขมันที่ไม่อุดตัน Zn + Bettacan เพิ่มภูมิต้านทานเชื้อโรค BTS ขจัดพิษจากอาหารประจำวัน หากฮอร์โมน เมนส์ไม่ปกติ สิวเห่อควรเพิ่มสารสกัดจากถั่วเหลืองซึ่งมีไอโซฟลาโวน ไฟโตเอสโตรเจนจากพืช
นอกจากสิวบนใบหน้าแล้ว อาจพบสิวบนผิวหนังตามส่วนอื่นๆของร่างกายได้ เช่น
สิวที่หลังหรือลำตัว มักเป็นเชื้อจุลินทรีย์คนละตัวกับ P-acne ที่ผิวหน้าแต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบ O2 คือ ถูก Oxidation ตายได้ สามารถใช้ BP ทาได้เช่นกัน หรือจะใช้แป้งน้ำ Accin Lotion ควบคู่กับการใช้สบู่เหลว Bioclean ในการชำระล้างผิวกายก็ได้
สิวรอบเดือน ลักษณะเม็ดอักเสบมีหนองตรงปลายมักอยู่ตื้น พบบ่อยๆ แถวริมฝีปากและจมูก ช่วงก่อนรอบเดือน อาจมีอาการอื่นร่วม เช่น หงุดหงิด ตึง เจ็บหน้าอก น้ำหนักเพิ่ม ปวดศรีษะ ปวดประจำเดือน
พบราว 50% ของผู้หญิง บางรายก็ยุบไปเอง แต่ถ้ามีสิวเป็นทุนอยู่แล้ว มักรุนแรงเพิ่ม
การแก้ไขก็เหมือนสิวอักเสบทั่วไป… เริ่มแก้ที่สิวอักเสบก่อน แนะนำให้รับประทานไฟโตเอสร่วมด้วย เพื่อช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน
หากเป็นทุกรอบเดือน เป็นการประจำก็ทา VA ป้องกันที่ต้นเหตุแห่งอุดตันไว้ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดสิวเพียงในช่วงหนึ่งของวัยเท่านั้น หากหนักหนาสาหัส ก็อาจต้องพึ่งยาคุมกำเนิด สามารถขอคำปรึกษาจากเภสัชกรใกล้บ้านท่านได้